ภัทรนิษฐ์ วิเชียรบรรณ

นางภัทรนิษฐ์ วิเชียรบรรณ หรือ “ครูแวน” เกิดในครอบครัวเชื้อสายจีน เป็นหลานคนแรกของตระกูลฝั่งพ่อ และเป็นผู้หญิงคนเดียว จากหลานทั้งหมด 6 คนของครอบครัวฝั่งพ่อ ตอนเด็กๆ ภาพจำคือทุกคนในครอบครัวซึ่งอยู่ในลักษณะกงสีผิดหวังมาก เพราะทุกคนคาดหวังจะเห็นหลานคนแรกของตระกูลเป็นผู้ชาย อาก๋งของแวนเป็นนายเหมืองและเป็นเจ้าของเหมืองแร่เล็กๆ บนเขา พ่อหรือแวนเรียกว่า แต้ มีพี่น้อง 7 คน ทุกคนรวมทั้งพ่อแวนได้รับการสนับสนุนเรื่องการศึกษา ส่วนใหญ่จะเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ยกเว้นอาๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ไม่อยากจะเรียนเอง เพราะต้องการดูแลพี่น้อง ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

ก๋งของแวนเป็นคนหัวทันสมัย และเป็นคนที่ชอบให้ลูกหลาน มีความรู้สูงๆ และรับราชการเพื่อรับใช้แผ่นดิน เพราะท่านมักบอกพี่ป้าน้าอาของแวนว่า ท่านลำบากมากตอนอยู่เมืองจีน อยากให้ลูกๆหลานๆ ท่านทำงานรับใช้แผ่นดิน โดยการเป็นข้าราชการ ญาติๆ ฝั่งพ่อของแวน ส่วนใหญ่จึงรับราชการ เช่น พยาบาล ครู เป็นต้น จริงๆ ที่บ้านพ่อแวนอยากให้แวนเป็นพยาบาล เหมือนอาผู้หญิง 2 คน แต่แวนไม่ชอบ แม่ก็เลยบอกว่าอยากให้แวนเป็นครู มันก็เลยฝังหัวตั้งแต่เด็กจนโตว่าเราต้องไปเป็นครู ส่วนครอบครัวแม่ ฐานะปานกลางค่อนข้างลำบาก ตาของแวนเป็นเสมียนอยู่ในเหมืองแร่ ยายเป็นคนจีนบะบ๋า ที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้านอย่างเดียว แต่ตาของแวนเป็นเสมียนของนายฝรั่ง แม่มักจะเล่าด้วยความภาคภูมิให้ฟังว่าตาพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ทั้งที่เรียนไม่สูง

         แวนจึงถูกเลี้ยงมาแบบผสมผสาน ที่บ้านพ่อคนข้างเข้มงวด ส่วนที่บ้านแม่ ไม่คาดหวังอะไรกับแวนเยอะ แต่สิ่งที่แม่ขอไว้คือ ลูกต้องเรียนครู และต้องเป็นครู เพราะเป็นความฝันของแม่ และแม่มีความเชื่อว่าผู้หญิงรับราชการจะสบายตอนแก่ ที่เหลือแล้วแต่ลูกจะเลือกวิถีชีวิตเลย แวนจึงเรียนจบปริญญาตรี สาขาครุศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) วิชาเอก ภาษาอังกฤษ วิชาโท ภาษาฝรั่งเศส ตอนเรียนก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกมาเป็นครู แค่อยากให้แม่และครอบครัวดีใจที่เราเรียนครู ตอนนั้นอยากเป็นมัคคุเทศก์ เพราะเรารู้ตัวว่าเราชอบชีวิตอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ เนื่องจากตอนเด็กๆแม่จะเลี้ยงลูกแบบให้อยู่ในกรอบมากเกินไป และมักจะปลูกฝังว่าเป็นผู้หญิงต้องเก่ง และชอบใส่หัวเราถึงข้อดีของการเป็นโสดตลอดเวลา

ตอนเรียนจบปริญญาตรี เมื่อปี พ.ศ.2545 จบวันแรก แวนก็ทำร้ายน้ำใจแม่เลย โดยการบอกว่า “อยากเป็นไกด์ ไม่อยากเป็นครู” ขอไปสมัครงานไกด์ เลย แม่ก็เลยกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่แล้วบอกว่า ไปเลย อยากทำอะไรไปก่อน อีกกี่ปีมาเป็นครูให้แม่ ตอนนั้นบอกๆ ไปว่า เดี๋ยวอายุ 30 ปี มาเป็นครู เองแหละ ตอนนั้นเข้าใจว่า อีกนานกว่าจะ 30 ปี เดี๋ยวแม่ก็ลืมๆ ไปเอง แวนก็เลยทำทุกอย่าง ตั้งแต่เป็น Reception โรงแรม (โรงแรม Centara Karon Beach Resort) อยู่เกือบ 2 ปี แล้วก็เป็นพนักงานบริษัทต่างชาติ เจ้าของเป็นคนอังกฤษ เข้าทำงานครั้งแรกเป็น Marketing Officer จนได้รับการ Promote ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น Marketing Supervisor ตอนนั้นเงินเดือนเกือบ 30,000 บาท ไม่รวม Profit Share และ Bonus เจ้าของเป็นคนอังกฤษ ที่ใจดี ใจกว้างมาก แวนไปขอลาออก จะไปอบรมมัคคุเทศก์ 1 เดือนแถมชวนน้องๆ ในฝ่าย Marketing ลาออกไปอีก 5 คนเพื่อไปตามความฝันในการเป็นไกด์ของเรา เพราะเริ่มเบื่องานแล้ว และเรายังมีความฝันที่อยากเป็นไกด์อยู่ตลอดเวลา

แม้ Boss ทั้ง 2 คนจะดูแลพวกเราดีแค่ไหน แต่ใจมันยังเรียกร้อง แต่ Boss ทั้งสองท่านก็ไม่ยอมให้ออก แถมอนุญาตให้แวนและน้องๆ ในทีมอีก 5 คนไปอบรมไกด์ 1 เดือน ไม่หักเงินสักบาท เลยอยู่บริษัททัวร์ ของคุณ Alex และ Graham ต่อจนครบ 5 ปี ตอบแทนน้ำใจของท่าน และลาออก ไปสมัครเป็น Sale Executive บริษัทขายเรือยอร์ช เค้าให้ 34,000 บาท ไม่รวมเงินตอบแทนนำเที่ยวออกทริปและอื่นๆ อยู่ได้ 1 เดือนก็ลาออกเพราะไม่ใช่แนว ทั้งที่ได้นำแขกเที่ยวด้วย ได้เป็นไกด์เรือยอร์ช อยู่กับแขกหรูหราระดับ High Class สมใจอยากแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรสุดท้ายลาออก มาสมัครเป็น Sales ขาย Property บริษัท Real Estates & Management ของคนอังกฤษ ชื่อ คุณ Phil Mamara และ คุณ David Lloyd เค้าไม่รับในตำแหน่ง Sales เพราะ Boss บอกว่าผู้สมัครงานตำแหน่ง Sales วันนี้ทั้ง 4 คนบุคลิกภาพไม่เหมาะเป็น Sales สักคน คุณ Phil เลยเสนอตำแหน่งให้แวนเป็น Property Manager ไปดูแล Property Site ที่บริษัทรับทำ Management อยู่ ตอนนั้นอยากได้งานทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Job Description ของ Property Manager คืองานลักษณะใด เพราะคู่แข่งอีก 3 คนที่ไปสมัครงาน จบเมืองนอก 2 คน อีกคนจบจุฬา ด้วยความบ้าคลั่งเลยรับไว้ก่อน เป็น Property Manger ของบริษัท UPL Real Estates & Management อยู่ได้ 1 ปีกำลังสนุกสนานกับงานอยู่ ได้เรียนรู้งานใหม่ๆ เริ่มชอบงานแบบนี้ เพราะนายฝรั่งและเพื่อนๆ ของ Boss สอนงานดีมาก Treat พนักงานดีมาก แถมโปรไฟล์ดี จบจากมหาวิทยาลัย Oxford บ้าง เป็นลูกท่านเซอร์ บ้าง เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึงได้ทำงานกับหนุ่มๆ ผู้ดีอังกฤษแท้ๆ แต่แล้วแม่ก็บอกว่าตอนนี้เลย 30 ปี ไปหลายเดือนแล้ว มาสอบครูซะดีๆ ที่สัญญาไว้ แม่ไม่ยอมแล้ว ตอนมาเป็นครูอัตราจ้างอยู่ไม่กี่เดือนเหมือนตกนรกเลย ทรมานมาก ปรับตัวไม่ได้เลยสักนิด แต่ถอยไม่ได้เพราะแม่ไม่ยอมและที่สำคัญได้คำแนะนำจากผู้ใหญ่ใจดีบางท่านชี้แนะว่า ตั้งแต่จบมาเคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชุมชนหรือประเทศชาติตัวเองบ้างไหม ทำงานถวายหัวได้ฝรั่ง สุดท้ายฝรั่งพาเงินออกนอกประเทศเราทั้งนั้น ที่เหลือเป็นเงินเดือนเยอะก็จริง แต่ก็แค่เศษตังค์ของฝรั่ง เลยทบทวนตัวเองและตัดสินใจเดินหน้าเป็นครูเหมือนที่เราเคยถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กและสมัยที่เรียนครู สอบครูผู้ช่วย รับราชการครูครั้งแรกที่โรงเรียนวิชิตสงคราม ครบ 2 ปี ย้ายมาเป็นครู โรงเรียนอนุบาลภูเก็ต ประมาณ 2 ปี รวม 4 ปี ครบเกณฑ์สอบผู้บริหารสถานศึกษา ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบปริญญาโท สาขาการบริหารการศึกษา ประมาณ 2 เดือน เพื่อนชวนไปสอบรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ก็ไปสอบเป็นเพื่อนเค้า ใจจริงยังสนุกกับการเป็นครูอยู่ เพราะชอบเด็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดูดี เวลาสอนเด็กที่เค้าไม่รู้เรื่อง แล้วเค้าตอบได้ รู้สึกมีความสุขแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ดันสอบแข่งขันได้อีก เลยต้องไปรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสะปำ “มงคลวิทยา” ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส อยู่ได้ประมาณ 1 ปีกว่าๆ ย้ายกลับมาเป็น รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการโรงเรียนให้ดูแลกลุ่มบริหารงานวิชาการ และกลุ่มบริหารงานบุคคล เพราะตอนเป็นครูโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต เราดูแลในส่วนของหลักสูตร English Program ทำงานร่วมกับครูต่างชาติ ซึ่งแวนได้ทำงานในตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา มีการเปิดสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาในปีพ.ศ.2562 แต่ก็ไม่ไปสอบ ตั้งใจไว้ว่าจะปฏิบัติงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต จนเกษียณอายุราชการ เพราะใกล้บ้าน และมีความสุขกับการทำงานดี ไม่อยากไปไหนแล้วผูกพันกับโรงเรียนมาก แต่ผ่านไปประมาณ 5 ปี กลับรู้สึกว่าเราน่าจะใช้ความรู้ และประสบการณ์ในการทำงานของเราในภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทำประโยชน์ได้มากกว่านี้นะ ประกอบกับการที่เราได้เห็นบุคคลต้นแบบตามสื่อต่างๆ และเป็น Role Model ที่ประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ และหลายๆด้าน เช่น คุณเจริญ ไทยเบฟ ฯลฯ ว่าทำไมเค้าถึงบริจาคเงินและสนับสนุนทรัพยากรต่างๆ เพื่อพัฒนาการศึกษาของประเทศ ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าปล่อยให้คนในประเทศโง่หรือไร้การศึกษาก็น่าจะควบคุมง่าย และตกเป็นเหยื่อทางการตลาด เอื้อต่อธุรกิจกว่าด้วยซ้ำ และจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แวนมองเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต ความไม่เที่ยง บางคนที่ร่ำรวยก็กลายเป็นคนจนฉับพลัน จนแล้วก็จนลงไปอีก จนบางคนเลือกจบชีวิตตัวเองเพื่อหนีปัญหา นักเรียนและเยาวชนจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา เหล่านี้มันเป็นแรงบันดาลใจที่จุดประกายที่ ทำให้แวนตัดสินใจเดินออกมาจากโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานที่เปรียบเสมือนบ้านหลัดงที่ 2 ของแวน ตั้งใจจะใช้ความรู้ ประสบการณ์ในแบบฉบับของเราสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ มาสร้างประโยชน์กับชุมชน ประเทศชาติ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ด้อยโอกาส แต่จริงๆ แล้วหลังจากได้ทบทวนและวิเคราะห์ตัวเองแล้วแวนอาจแค่หมาล่าเนื้อที่อยากสร้างคุณค่าของตนเองเพื่อความภาคภูมิใจในตัวเอง ในปี พ.ศ.2564 มีการสอบคัดเลือกตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา แวนเลยตัดสินใจสอบ ตอนนั้นประกาศตำแหน่งว่าง 1 ตำแหน่ง ซึ่งคือ โรงเรียนบ้านเชิงทะเล “ตันติวิท” ซึ่งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ต มีผู้สมัครจำนวน 30 กว่าคน มีคนสอบผ่านทุกภาค 3 คน

แวนสอบได้ที่ 1 และทางสพป.ภูเก็ต ส่งไปพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ประมาณ 20 วัน กลับมามีโรงเรียนให้เลือกเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านไม้ขาว และโรงเรียนบ้านเกาะนาคา ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนเพิ่งย้ายออก ตอนนั้นไม่รู้จักโรงเรียนบ้านไม้ขาวเลย เข้าใจว่าอยู่แถวท่าฉัตรไชย แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลภูเก็ต และผู้ใหญ่หลายท่านแนะนำว่าแวนสอบได้ที่ 1 เลือกลงตำแหน่งที่โรงเรียนบ้านไม้ขาวดีกว่า ถึงจะไกลไปหน่อยแต่ครูใจดี ขยันดี ชุมชนก็น่าอยู่ จึงเป็นที่มาของการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านไม้ขาว

วันแรกที่ขับรถเข้าโรงเรียนบ้านไม้ขาว ก็รู้สึกเย็นๆ ดี อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ไม่เคยมาแถวนี้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีโรงเรียนอยู่ ถามพี่ๆ เพื่อนๆ เค้าบอกว่าอยู่ใกล้วัดไม้ขาว แต่แวนไม่ใช่สายธรรมะธัมโม เลยไม่เคยมา ตอนเป็นไกด์ก็ไม่เคยมาส่งแขกแถวนี้ ส่วนใหญ่แขกจะพักป่าตอง กะตะ กะรน มึนงงมากกับครู และเด็กๆ ที่นี่ ว่าเค้าอยู่กันได้ยังไง ไม่มีทั้งภารโรง ทั้งธุรการ พยายามปรับตัวทุกวันเพราะไม่เคยทำงานลำบาก ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าคนอื่นอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ เห็นครูตัวเล็กๆ และเด็กๆ ช่วยกันดูแลทำความสะอาดโรงเรียน ไม่เห็นมีใครบ่น ชุมชนก็ไม่เข้ามาทิ้งขยะ ไม่มีวัยรุ่นมาเสพยาตามมุมอับในโรงเรียน หรือมาแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนบางที่ แต่ที่ประทับใจคือคณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครอง มักจะบอกว่า “มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะผอ.” จนวันหนึ่งมาพี่หมูโทรมาบอกว่า “เพื่อนพี่ถามว่ารู้จัก ผอ.โรงเรียนไม้ขาวไหม เล็กๆ น่ารักดี” พี่หมูก็นัดพาไป รู้จักจี้จุ๋ม อาจารย์โต้ง ที่บ้านอาจ้อ เกร็งมากเพราะเรารู้ว่าบ้านอาจ้อ คือ ตระกูล หงษ์หยก คหบดีตระกูลใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต เจอจี้จุ๋มครั้งแรกตกใจ แต่ก็ชอบและตกหลุมรักความคิด แนวคิดการทำงาน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ energy เยอะจัด ส่วนครูหมีกลัวค่ะ 😅

         ถ้าให้พูดถึงจี้จุ๋ม และบ้านอาจ้อ 10 หน้าก็ไม่จบค่ะ ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายดี แต่ก็ยืนยันว่าทุกครั้งที่มาบ้านอาจ้อ และได้เห็นเครือข่ายพันธมิตร เพื่อน พี่น้อง เจ้านาย ไทยเบฟ และสามีของจี้จุ๋ม มันเป็นสัญลักษณ์ว่า แวน เด็กๆ และครูๆ โรงเรียนบ้านไม้ขาว มีคนอยู่เคียงข้างเสมอทุกเวลา ไม่ถูกทิ้งแน่ มีคนเห็นคุณค่าของพวกเรา ทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง มีเป้าหมายในการทำงาน และเป้าหมายในชีวิต